บทที่ 5: เทคโนโลยีใหม่และความท้าทายทางจริยธรรม
ปัญญาประดิษฐ์และการตัดสินใจอัตโนมัติ
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence - AI) ได้กลายเป็นเทคโนโลยีที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตประจำวันของเราในศตวรรษที่ 21 จากการแนะนำเพลงใน Spotify การกรองอีเมลสแปมใน Gmail ไปจนถึงการช่วยในการวินิจฉัยโรคในโรงพยาบาล AI ได้แทรกซึมเข้าไปในทุกด้านของสังคมโดยที่หลายคนอาจไม่ได้ตระหนักถึงผลกระทบ
ความท้าทายทางจริยธรรมหลักของ AI คือปัญหาความลำเอียงในอัลกอริธึม เมื่อระบบ AI เรียนรู้จากข้อมูลที่มีความลำเอียงอยู่แล้ว ก็จะสร้างผลลัพธ์ที่มีความลำเอียงตามไปด้วย ตัวอย่างที่เป็นที่รู้จักคือระบบประเมินความเสี่ยงการกระทำผิดซ้ำ COMPAS ที่ใช้ในระบบยุติธรรมสหรัฐอเมริกา การศึกษาพบว่าระบบนี้มีแนวโน้มให้คะแนนความเสี่ยงที่สูงกว่าแก่จำเลยผิวดำเมื่อเทียบกับจำเลยผิวขาวที่มีประวัติความผิดในระดับเดียวกัน
ในประเทศไทย การใช้ AI ในระบบสินเชื่อของธนาคารเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ ระบบเหล่านี้ใช้ข้อมูลจำนวนมากในการประเมินความเสี่ยงของผู้กู้ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคล ประวัติการทำงาน ประวัติการชำระเงิน และแม้แต่ข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์ หากอัลกอริธึมเหล่านี้มีความลำเอียงต่อกลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น ผู้หญิง คนรุ่นใหม่ หรือคนที่อาศัยในพื้นที่ชนบท อาจส่งผลให้กลุ่มคนเหล่านี้เข้าถึงบริการทางการเงินได้ยากขึ้น
ปัญหาอีกประการหนึ่งคือความโปร่งใสในการตัดสินใจของ AI หลายระบบ AI โดยเฉพาะที่ใช้เทคโนโลยี Deep Learning ทำงานในลักษณะที่เรียกว่า "Black Box" ซึ่งแม้แต่ผู้พัฒนาก็ไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าทำไมระบบจึงตัดสินใจในทางหนึ่งทางใดได้ เมื่อระบบเหล่านี้ถูกใช้ในการตัดสินใจที่มีผลกระทบต่อชีวิตของผู้คน เช่น การอนุมัติสินเชื่อ การรับเข้าทำงาน หรือการรักษาพยาบาล ความไม่สามารถอธิบายได้นี้กลายเป็นปัญหาด้านความยุติธรรมและความรับผิดชอบ
เทคโนโลยี Blockchain และประเด็นด้านความยั่งยืน
Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเริ่มจากการเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานของสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin จนกระทั่งขยายไปสู่การใช้งานในด้านต่างๆ เช่น การจัดการห่วงโซ่อุปทาน การบันทึกประวัติทางการแพทย์ และการสร้างสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract)
แนวคิดหลักของ Blockchain คือการสร้างระบบบันทึกข้อมูลที่กระจายอำนาจ โปร่งใส และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (Immutable) การที่ข้อมูลถูกเก็บกระจายในโหนดต่างๆ ทั่วโลก และมีการตรวจสอบโดยเครือข่าย ทำให้ยากที่จะมีการปลอมแปลงหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากเครือข่าย
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี Blockchain ก็มีความท้าทายทางจริยธรรมที่สำคัญ ปัญหาที่โดดเด่นที่สุดคือการใช้พลังงานในปริมาณมาก โดยเฉพาะระบบที่ใช้กลไก Proof of Work เช่น Bitcoin การขุด Bitcoin ใช้พลังงานไฟฟ้าปีละประมาณ 120 TWh ซึ่งใกล้เคียงกับการใช้พลังงานของประเทศอาร์เจนติน่าทั้งประเทศ
ในประเทศไทย การใช้เทคโนโลยี Blockchain ในภาครัฐได้เริ่มขึ้นในหลายโครงการ เช่น ระบบการออกใบสำคัญแสดงวุฒิการศึกษาดิจิทัล การจัดการข้อมูลการรักษาพยาบาลข้ามโรงพยาบาล และการติดตามสินค้าเกษตรจากไร่สู่จาน แต่ละโครงการล้วนมีวัตถุประสงค์ที่ดี แต่ก็ต้องพิจารณาถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและความคุ้มค่าด้วย
ประเด็นอีกประการหนึ่งคือการใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการสร้างสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency - CBDC) ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการศึกษาและทดลองโครงการเงินดิจิทัลธนาคารกลาง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงิน อย่างไรก็ตาม การมี CBDC จะส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวทางการเงินของประชาชน เนื่องจากธนาคารกลางจะสามารถติดตามการทำธุรกรรมทุกรายการได้
อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งและความเป็นส่วนตัว
อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things - IoT) คืออุปกรณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและสื่อสารกันได้ ตั้งแต่ตู้เย็นอัจฉริยะที่สามารถสั่งของในตู้เย็นเมื่อของหมด ไปจนถึงนาฬิกาอัจฉริยะที่ติดตามสุขภาพของเรา และกล้องรักษาความปลอดภัยที่สามารถรู้จำใบหน้าได้
การเติบโตของ IoT ได้นำมาซึ่งความสะดวกสบายและประสิทธิภาพมากมาย ระบบบ้านอัจฉริยะสามารถปรับอุณหภูมิ แสงสว่าง และระบบรักษาความปลอดภัยตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย รถยนต์อัจฉริยะสามารถเตือนภัยอันตรายและช่วยในการขับขี่ อุปกรณ์ติดตามสุขภาพสามารถช่วยให้แพทย์ติดตามอาการของผู้ป่วยแบบเรียลไทม์
อย่างไรก็ตาม IoT ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวอย่างมาก อุปกรณ์ IoT หลายชนิดถูกออกแบบโดยเน้นความสะดวกสบายมากกว่าความปลอดภัย มีการรายงานเกี่ยวกับการที่แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงกล้องรักษาความปลอดภัยในบ้าน ระบบปรับอากาศ และแม้แต่รถยนต์อัจฉริยะ
ในปี 2563 มีการรายงานเกี่ยวกับช่องโหว่ในระบบรักษาความปลอดภัยของกล้องวงจรปิดในประเทศไทยหลายแสนตัว ที่สามารถถูกเจาะเข้าไปดูได้จากระยะไกล เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเมื่ออุปกรณ์ต่างๆ ในบ้านและที่ทำงานสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้
ปัญหาอีกประการหนึ่งคือการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยอุปกรณ์ IoT อุปกรณ์เหล่านี้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของเราอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เวลาที่เราตื่นนอน กิจกรรมที่เราทำในบ้าน ไปจนถึงสถานที่ที่เราไปมา ข้อมูลเหล่านี้หากตกอยู่ในมือที่ผิด อาจถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่เหมาะสม
ความปลอดภัยไซเบอร์ในยุคเทคโนโลยีใหม่
เทคโนโลยีใหม่แต่ละชนิดได้นำมาซึ่งความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์ที่แตกต่างกัน การโจมตีด้วย AI ได้กลายเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากขึ้น แฮกเกอร์สามารถใช้ AI ในการสร้างอีเมลหลอกลวงที่ดูเหมือนจริงมากขึ้น การสร้างเสียงหรือภาพปลอมของบุคคลสำคัญเพื่อหลอกลวง และการโจมตีระบบคอมพิวเตอร์แบบอัตโนมัติที่สามารถปรับตัวตามการป้องกันได้
เทคโนโลยี Deepfake ซึ่งใช้ AI ในการสร้างวิดีโอหรือเสียงปลอมที่ดูหรือฟังเหมือนจริง ได้สร้างความท้าทายใหม่ด้านการรักษาความจริง มีการใช้เทคโนโลยีนี้ในการสร้างวิดีโอลามกอนาจารปลอม การปลอมแปลงคำพูดของนักการเมือง และการหลอกลวงเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเงิน
การรับมือกับปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ผู้พัฒนาเทคโนโลยีต้องคำนึงถึงความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มการออกแบบ (Security by Design) ผู้ใช้งานต้องมีความรู้และทักษะในการใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัย และหน่วยงานกำกับดูแลต้องมีกฎหมายและระเบียบที่เหมาะสมกับเทคโนโลยีใหม่