บทที่ 3. การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการรณรงค์และเคลื่อนไหวเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก
งานวิจัยเชิงวิชาการเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางสังคมออนไลน์
การมีส่วนร่วมของเยาวชนในการเคลื่อนไหวทางสังคม
งานวิจัยของ Cortés-Ramos และคณะ (2021) ในวารสาร Sustainability พบประเด็นสำคัญ:
- เยาวชนใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นแพลตฟอร์มหลักในการแสดงออกทางการเมืองและสังคม
- การมีส่วนร่วมแบบ "hybrid activism" ที่รวมการกิจกรรมออนไลน์และออฟไลน์
- Instagram และ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงสุด ขณะที่ Facebook มีการใช้งานลดลง
กรอบทฤษฎีสำหรับการทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวทางสังคมออนไลน์
ทฤษฎี Resource Mobilization Theory (RMT)
Chen และคณะ (2021) ใช้กรอบทฤษฎี Collective Action Space:
- ลำดับชั้น (Hierarchy): การจัดระเบียบแบบกระจายอำนาจมีประสิทธิภาพมากกว่าการนำโดยผู้นำคนเดียว
- การปิดล้อม (Closure): เครือข่ายที่เชื่อมโยงกันแน่นแฟ้นช่วยส่งเสริมการมีส่วนร่วม
กรอบทฤษฎีการเคลื่อนไหวจากออนไลน์สู่ออฟไลน์
การศึกษาของ Greijdanus และคณะ (2020) ใน Current Opinion in Psychology พบ:
- หลักฐานเชิงประจักษ์ส่วนใหญ่ชี้ว่าการเคลื่อนไหวออนไลน์และออฟไลน์มีความเชื่อมโยงเชิงบวก
- ไม่มีหลักฐานชัดเจนสำหรับ "digital dualism" หรือการแยกกันระหว่างกิจกรรมออนไลน์และออฟไลน์
การศึกษาเกี่ยวกับการรณรงค์ผ่าน Hashtag และการเคลื่อนไหวไวรัล
พลังของ Hashtag Activism
การศึกษา meta-synthesis ใน PMC (2022):
- Affordances สำหรับ "momentary connectedness": hashtag สร้างการเชื่อมโยงชั่วขณะ
- การสร้าง counternarratives: hashtag ช่วยสร้างเรื่องเล่าทางเลือก
- การสร้างชุมชนออนไลน์: hashtag เป็นธงรวมพลังของการเคลื่อนไหว
ตัวอย่างการรณรงค์ที่ประสบความสำเร็จ
1. #BlackLivesMatter:
o ใช้ 48 ล้านครั้งในช่วง 26 พฤษภาคม - 7 มิถุนายน 2020
o TikTok มีการรับชม 12 พันล้านครั้ง
o นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายและกฎหมายในหลายประเทศ
2. #MeToo:
o แตกต่างจาก hashtag feminist อื่นที่หายไปเร็ว
o มีการสนทนาอย่างต่อเนื่อง 38,000 - 1 ล้านทวีตต่อเดือน
o นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฎหมายและนโยบาย
กรณีศึกษาจากประเทศไทย
#FreeYouth (#เยาวชนปลดแอก)
การศึกษาของ Sinpeng (2021):
- การใช้ Twitter เพื่อสร้าง collective narratives และเผยแพร่ข้อมูลการเคลื่อนไหว
- การสร้างเครือข่ายที่หลวมผ่าน community clusters ของ weak ties
- เน้นการแสดงความไม่พอใจต่อรัฐบาลและเรียกร้องประชาธิปไตย
#DontTellMeHowToDress
จากการศึกษาใน Feminist Media Studies (2024):
- การต่อต้านการกำหนดเครื่องแต่งกายผู้หญิง
- การใช้ Instagram โดยนางแบบ Cindy Bishop
- แสดงให้เห็น "Thai-fusion popular feminism"
- นำไปสู่มาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น