บทที่ 4: เสรีภาพการแสดงออกและขอบเขตทางกฎหมาย

ความตึงเครียดระหว่างเสรีภาพและความปลอดภัย

ประเด็นเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกในโลกออนไลน์เป็นหนึ่งในประเด็นที่ซับซ้อนและก่อให้เกิดการถกเถียงมากที่สุดในสังคมไทยปัจจุบัน การเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้ทำให้ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นและเผยแพร่ข้อมูลได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็วมากกว่าที่เคยเป็นมา ขณะเดียวกัน ก็ได้เกิดปัญหาใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น การแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อจุดประสงค์ที่ผิดกฎหมาย

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ได้รับประกันเสรีภาพในการแสดงออกผ่านมาตรา 34 โดยระบุว่า "บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการแสดงออกโดยวิธีอื่น" อย่างไรก็ตาม เสรีภาพนี้ไม่ใช่เสรีภาพที่ไร้ขอบเขต รัฐธรรมนูญเองก็กำหนดไว้ว่า "การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำไม่ได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ คุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น รักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือป้องกันการเสื่อมเสียของสุขภาพจิตหรือสุขภาพกายของประชาชน"

การตีความและประยุกต์ใช้บทบัญญัติเหล่านี้ในโลกออนไลน์เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง ความเร็วในการแพร่กระจายข้อมูล ปริมาณข้อมูลที่มหาศาล และลักษณะข้ามพรมแดนของอินเทอร์เน็ต ทำให้การควบคุมและกำกับดูแลเป็นเรื่องที่ซับซ้อน

กรณีศึกษา: กฎหมายหมิ่นเบื้องสูงในยุคดิจิทัล

กฎหมายหมิ่นเบื้องสูงตามมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา เป็นหนึ่งในกฎหมายที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดในการประยุกต์ใช้กับเนื้อหาออนไลน์ กฎหมายนี้กำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปีสำหรับผู้ที่ "หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือคุกคามพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์"

การนำกฎหมายนี้มาใช้กับเนื้อหาในสื่อสังคมออนไลน์ได้สร้างผลกระทบอย่างกว้างขวาง สถิติจากองค์กรเฝ้าระวังสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศแสดงให้เห็นว่าตั้งแต่เหตุการณ์ทางการเมืองในปี 2563 มีบุคคลมากกว่า 281 คนถูกดำเนินคดีด้วยข้อหานี้ โดยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการโพสต์ข้อความหรือแชร์เนื้อหาในสื่อสังคมออนไลน์

กรณีของนายมงคล ธีรขต เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของการลงโทษ ชายวัย 32 ปีที่ทำอาชีพขายของออนไลน์ถูกศาลตัดสินจำคุก 50 ปี ซึ่งเป็นโทษจำคุกที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมาสำหรับคดีหมิ่นเบื้องสูง ความผิดของเขาคือการโพสต์ข้อความใน Facebook ที่ศาลเห็นว่าเป็นการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์

กรณีของนางสาวอาภรณ์ ปรีดาเลิศ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง เธอถูกตัดสินจำคุกรวม 43.5 ปี (จากเดิม 87 ปี แต่ลดลงเนื่องจากสารภาพ) จากการแชร์วิดีโอคลิปและโพสต์ข้อความ 29 รายการใน YouTube และ Facebook ต่อมาเธอได้รับการปล่อยตัวในเดือนสิงหาคม 2568 หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษ

ผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกับตัวผู้กระทำผิด แต่ส่งผลต่อการแสดงออกของสังคมโดยรวม ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "Chilling Effect" เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนจำนวนมากหลีกเลี่ยงการแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่อาจถูกตีความว่าเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แม้ว่าจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่สร้างสรรค์หรือการแสดงความคิดเห็นที่ชอบธรรมก็ตาม

การแพร่กระจายของข้อมูลเท็จและความท้าทายในการจัดการ

ปัญหาข้อมูลเท็จ หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า "Fake News" เป็นหนึ่งในความท้าทายใหม่ที่สังคมโลกต้องเผชิญในยุคดิจิทัล ลักษณะของสื่อสังคมออนไลน์ที่อนุญาตให้ทุกคนสามารถเผยแพร่ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง โดยไม่มีกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดเหมือนสื่อมวลชนดั้งเดิม ทำให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว

ในประเทศไทย ปัญหานี้ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 การแพร่กระจายของข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโรค วิธีการรักษา หรือมาตรการป้องกัน ได้สร้างความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ ไม่เพียงแต่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรค แต่ยังส่งผลต่อความไว้วางใจในหน่วยงานสาธารณสุขและนโยบายของรัฐบาล

รัฐบาลไทยพยายามจัดการกับปัญหานี้ผ่านการบังคับใช้มาตรา 14 ของพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม การใช้กฎหมายเพื่อจัดการกับข้อมูลเท็จเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนสูง เนื่องจากอาจนำไปสู่การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกได้ การแยกแยะระหว่างข้อมูลที่เป็นเท็จจริงๆ กับความคิดเห็นที่แตกต่าง การวิพากษ์วิจารณ์ที่ชอบธรรม หรือการรายงานข่าวที่อาจมีข้อผิดพลาด เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก

ตัวอย่างความท้าทายนี้สามารถเห็นได้จากกรณีที่มีการแพร่กระจายข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ในช่วงแรกของการเปิดตัววัคซีน มีการโต้เถียงกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนชนิดต่างๆ บางข้อมูลที่ถูกจัดว่าเป็น "ข้อมูลเท็จ" ในช่วงแรก กลับกลายเป็นข้อมูลที่มีหลักฐานสนับสนุนในภายหลัง สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนในการกำหนดว่าข้อมูลใดเป็น "เท็จ" และข้อมูลใดเป็น "จริง"

แนวทางการสร้างสมดุล

การสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกกับการรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยเป็นความท้าทายที่ประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกต้องเผชิญ ไม่มีทางออกที่สมบูรณ์แบบ แต่มีแนวทางหลายประการที่อาจช่วยลดปัญหา

แนวทางแรกคือการพัฒนาความรู้ด้านสื่อดิจิทัลให้กับประชาชน การสอนให้คนสามารถแยกแยะข้อมูลที่น่าเชื่อถือจากข้อมูลที่อาจเป็นเท็จ การตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นในยุคดิจิทัล

แนวทางที่สองคือการสร้างกลไกการตรวจสอบข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ การมีองค์กรตรวจสอบข้อมูล (Fact-checking) ที่เป็นอิสระ มีความน่าเชื่อถือ และทำงานอย่างโปร่งใส จะช่วยให้ประชาชนมีข้อมูลที่ถูกต้องในการตัดสินใจ ในประเทศไทย มีองค์กรหลายแห่งที่ทำหน้าที่นี้ เช่น Thai Fact Check Network และหน่วยงานของสื่อมวลชนต่างๆ

แนวทางที่สามคือการปรับปรุงกระบวนการทางกฎหมาย การสร้างกลไกการพิจารณาคดีที่รวดเร็ว ยุติธรรม และโปร่งใส จะช่วยให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมมากขึ้น การมีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจทั้งด้านเทคโนโลยีและกฎหมายเข้ามาช่วยในการพิจารณาคดี จะช่วยให้การตัดสินมีความแม่นยำและเหมาะสมมากขึ้น


แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันพุธ, 3 กันยายน 2025, 5:15PM