บทที่ 5 การคิดเชิงวิพากษ์: หัวใจของการรู้เท่าทันสื่อ
การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) คือ กระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล รอบคอบ และตั้งคำถามกับสิ่งต่าง ๆ แทนที่จะยอมรับข้อมูลหรือคำกล่าวอ้างใด ๆ อย่างผิวเผินโดยไม่มีการไตร่ตรอง สำหรับการรู้เท่าทันสื่อแล้ว การคิดเชิงวิพากษ์นับเป็นหัวใจสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้เราวิเคราะห์และตีความเนื้อหาได้อย่างถูกต้องลึกซึ้ง IFLA (2017) ระบุไว้ว่า “การคิดเชิงวิพากษ์เป็นทักษะสำคัญในความสามารถการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ” และเป็นภารกิจที่วงการห้องสมุดและการศึกษาต้องร่วมกันส่งเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคหลังความจริง (post-truth) ที่ข่าวลวงแพร่หลายrepository.ifla.org
เมื่อใดก็ตามที่เราบริโภคสื่อ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านข่าว ดูโฆษณา เลื่อนฟีดโซเชียลมีเดีย หรือชมวิดีโอสั้น ๆ การฝึกคิดเชิงวิพากษ์สามารถทำได้โดยการถามคำถามสำคัญ ๆ กับตนเองอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น:
- ใครเป็นผู้สร้างข้อความนี้? – พิจารณาว่าใครอยู่เบื้องหลังเนื้อหานี้ องค์กรใด บริษัทใด หรือบุคคลใดเป็นผู้ผลิตสื่อนี้ เขามีความน่าเชื่อถือเพียงใด มีประวัติหรือความตั้งใจอย่างไรในการนำเสนอเรื่องนี้
- มีวาระซ่อนเร้นหรือไม่? – สื่อทุกชนิดมักถูกสร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์บางอย่างเสมอ ไม่เพื่อบอกข่าวก็เพื่อโน้มน้าว ชักจูง หรือขายสินค้า เราควรถามว่า “ทำไมผู้สร้างถึงนำเสนอเรื่องนี้?” เขาต้องการให้เราเชื่อหรือทำอะไรหรือไม่ มีผลประโยชน์ทางตรงหรืออ้อมกับเรื่องที่สื่อนำเสนอหรือเปล่า
- เนื้อหาใช้เทคนิคใดในการดึงดูดเรา? – วิเคราะห์กลวิธีที่สื่อใช้ เช่น การเลือกภาพที่สะเทือนอารมณ์ การใช้คำที่กระตุ้นความกลัวหรือความตื่นเต้น การอ้างถึงผู้มีชื่อเสียง หรือการอ้างตัวเลขสถิติมาสนับสนุน ล้วนเป็นเทคนิคที่อาจใช้ชักจูงผู้ชมให้คล้อยตาม เราต้องมองให้ออก และแยกข้อเท็จจริงออกจากเทคนิคทางอารมณ์เหล่านี้
- ใครคือกลุ่มเป้าหมายของเนื้อหานี้? – สื่อแต่ละชิ้นมักมีผู้ชมเป้าหมายที่ผู้ผลิตอยากสื่อสารด้วย เช่น โฆษณาบางตัวเน้นเจาะวัยรุ่น ข่าวบางเรื่องเขียนให้โดนใจผู้มีแนวคิดทางการเมืองฝั่งหนึ่งเป็นพิเศษ การรู้เท่าทันจุดนี้จะทำให้เราเข้าใจว่า “ทำไมเนื้อหาถึงถูกเล่าแบบนี้” และเราตกอยู่ในกลุ่มเป้าหมายนั้นหรือไม่
- มีมุมมองอื่นอีกหรือไม่? – ฝึกคิด “ต่างมุมมอง” โดยลองจินตนาการว่าคนอื่นที่ต่างจากเราจะมองประเด็นนี้อย่างไร หรือมีข้อมูลส่วนใดที่เนื้อหาไม่ได้กล่าวถึงบ้าง? สื่อใด ๆ ย่อมเล่าเรื่องจากมุมหนึ่งและอาจละเลยอีกมุมหนึ่งเสมอ การคิดเผื่อว่า “อะไรไม่ได้ถูกพูด” หรือ “เรื่องนี้มีอีกด้านไหม” เป็นนิสัยของนักคิดเชิงวิพากษ์
- เราจะยืนยันความจริงได้อย่างไร? – คำถามสุดท้ายหลังเสพสื่อชิ้นหนึ่งคือ ถ้าเรายังไม่แน่ใจในข้อเท็จจริงบางอย่าง เราจะหา คำตอบหรือหลักฐานเพิ่มเติม ได้จากที่ไหน? คำถามนี้จะเชื่อมโยงเรากลับไปสู่กระบวนการ ตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่กล่าวไปแล้ว เช่น ค้นข้อมูลเพิ่ม ดูรายงานจากที่อื่น ถามผู้รู้ หรือใช้เครื่องมือช่วยตรวจสอบ เป็นต้น
การตั้งคำถามเช่นนี้อยู่เสมอทำให้เราไม่ตกเป็นฝ่ายรับสารที่ เชื่อง่าย อีกต่อไป แต่จะเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ฟัง/ผู้อ่านที่กระตือรือร้น (active audience) คอยโต้ตอบกับสิ่งที่รับรู้ในใจตลอดเวลา ผลลัพธ์คือเราจะค่อย ๆ มองเห็นภาพรวมของข้อมูลได้รอบด้านขึ้น แยกแยะข้อเท็จจริงออกจากความคิดเห็นหรือโฆษณาชวนเชื่อได้ดีขึ้น และพร้อมเปิดรับข้อมูลใหม่ ๆ โดยไม่ยึดติดกับความเชื่อเดิมจนปิดกั้นตนเอง
นอกจากนี้ การคิดเชิงวิพากษ์ยังเกี่ยวข้องกับการ เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และการรู้จักปรับเปลี่ยนมุมมองเมื่อมีหลักฐานหรือเหตุผลใหม่ที่สมควรเชื่อถือ การรู้เท่าทันสื่อที่แท้จริงไม่ใช่การเป็น “คนขี้สงสัยทุกเรื่อง” ในเชิงลบ หากแต่คือการเป็นคนที่พร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่และเปลี่ยนความคิดความเข้าใจของตนเมื่อมีข้อมูลที่ถูกต้องกว่าเข้ามา พูดง่าย ๆ คือ เปิดกว้างแต่ไม่ใช่โลเล และสงสัยแต่ไม่ใช่ด่วนสรุปปักใจเชื่อ
ในภาพรวม การคิดเชิงวิพากษ์เป็นทักษะที่ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น ตั้งคำถามเวลาดูโฆษณาทีวี อ่านคอมเมนต์ในโซเชียล หรือแม้แต่ฟังข่าวลือจากคนรู้จัก เราสามารถฝึกคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลกับข้อมูลเหล่านั้น เมื่อทำจนเป็นนิสัยแล้ว ทักษะนี้จะติดตัวเราไปและช่วยกรองโลกของสื่อที่ซับซ้อนให้กลายเป็นโลกที่เรามองเห็นอย่างเข้าใจและทันเกมมากขึ้น