นอกเหนือจากการประเมินด้วยสายตาและวิจารณญาณของเราเองแล้ว การจะทราบให้แน่ชัดว่าข้อมูลใด จริง” หรือ ปลอม” ยังต้องอาศัยกระบวนการ ตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact-checking) อย่างเป็นระบบ ซึ่งหมายถึงการใช้วิธีการและเครื่องมือต่าง ๆ ในการพิสูจน์ความถูกต้องของข้อมูลข่าวสารก่อนจะเชื่อหรือเผยแพร่ต่อ ในปัจจุบันมีทั้งเทคนิคง่าย ๆ ที่ทุกคนทำเองได้ และเครื่องมือออนไลน์มากมายที่ช่วยในการตรวจสอบข้อมูล ดังตัวอย่างต่อไปนี้:

8 ขั้นตอนเบื้องต้นในการตรวจจับข่าวปลอม: องค์กรห้องสมุดระดับโลกอย่าง IFLA (International Federation of Library Associations and Institutions) ได้จัดทำอินโฟกราฟิกชื่อ “How to Spot Fake News” ในปี ค.ศ.2017 โดยเสนอแนะแนวทาง 8 ขั้นตอนในการพิจารณาความน่าเชื่อถือของข่าวสารอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้repository.ifla.orgrepository.ifla.org:

1.      พิจารณาแหล่งที่มา (Consider the source): ตรวจสอบเว็บไซต์หรือแหล่งข่าวนั้นว่าเป็นใคร มีภารกิจหรือนโยบายในการนำเสนอข่าวอย่างไร และให้ข้อมูลติดต่อไว้ชัดเจนหรือไม่ (คล้ายกับที่กล่าวในหัวข้อก่อนหน้า)

2.      อ่านให้ละเอียดอย่าหลงแค่พาดหัว (Read beyond the headline): ดังที่ได้ย้ำไว้ อย่าหลงเชื่อแค่พาดหัวข่าวที่ดูหวือหวา แต่ควรอ่านเนื้อหาเต็มเพื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด

3.      ตรวจสอบผู้เขียน (Check the author): ค้นดูประวัติหรือความน่าเชื่อถือของผู้เขียนว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เขียนหรือเปล่า

4.      หาหลักฐานสนับสนุน (Supporting sources?): ดูว่าข่าวนั้นมีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลอื่น ๆ หรือไม่ ถ้ามี ลิงก์หรือแหล่งข้อมูลที่อ้าง” ไว้ ให้คลิกตามไปตรวจสอบว่าเนื้อหาในลิงก์เหล่านั้นสนับสนุนเรื่องที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่

5.      ตรวจวันเวลา (Check the date): ข่าวเก่าถูกนำมาแชร์ใหม่ไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์นั้นยังเกี่ยวข้องในปัจจุบัน การตรวจสอบวันที่เผยแพร่จึงสำคัญมาก (เช่น ข่าวเหตุการณ์ภัยพิบัติหรือโรคระบาด ควรดูวันที่เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็ว)

6.      แยกแยะว่าเป็นมุกตลกหรือข่าวจริง (Is it a joke?): บางครั้งข่าวที่ดูเหลือเชื่ออาจไม่ใช่ข่าวปลอมจริงจัง แต่อาจเป็น ข่าวล้อเลียน” หรือบทความเสียดสี ถ้าเนื้อหาดูพิสดารเกินจริง ให้ลองตรวจสอบบริบทของเว็บไซต์หรือผู้เขียนว่าเป็นสายเสียดสีหรือไม่

7.      ตรวจใจตนเอง (Check your biases): ดังที่ได้กล่าวไปเรื่องอคติส่วนตัว เตือนตนเองเสมอว่าอย่าให้ความเชื่อหรืออารมณ์ของเรามาบดบังการพิจารณาข้อเท็จจริง พยายามเปิดใจมองข้อมูลตามจริงแม้บางครั้งอาจขัดกับความคิดเดิมของเรา

8.      สอบถามผู้เชี่ยวชาญ (Ask the experts): หากยังไม่แน่ใจ อย่าลังเลที่จะปรึกษาแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น สอบถามบรรณารักษ์ในห้องสมุดที่มีบริการช่วยค้นข้อมูล สืบค้นจากเว็บไซต์หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง หรือดูในเว็บของหน่วยงานตรวจสอบข่าว (fact-checking) ทั้งหลาย

นอกจากคำแนะนำ 8 ข้อนี้ซึ่งครอบคลุมหลักใหญ่ใจความของการตรวจข่าวแล้ว เรายังสามารถใช้ เครื่องมือออนไลน์ และแหล่งข้อมูลช่วยตรวจสอบต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้:

  • ใช้เสิร์ชเอนจินในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม: หากพบข้ออ้างหรือข่าวที่น่าสงสัย ให้คัดลอกคำสำคัญหรือข้อความส่วนหนึ่งไปค้นหาใน Google (หรือเสิร์ชเอนจินอื่น) ดูว่ามีแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือรายงานเรื่องเดียวกันหรือให้ข้อมูลยืนยัน/โต้แย้งหรือไม่ เทคนิคนี้ช่วยให้เราพบทั้งข่าวจากแหล่งอื่นและบริบทเพิ่มเติม เช่น ข้อมูลพื้นหลังของเหตุการณ์ ภาพหรือวิดีโอที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
  • ใช้เว็บไซต์และหน่วยงาน “ตรวจข่าว” โดยเฉพาะ: ปัจจุบันมีองค์กรอิสระและหน่วยงานข่าวหลายแห่งที่ทำหน้าที่ Fact-Checker คอยตรวจสอบข่าวลวงที่แพร่ในสังคมและเผยแพร่ข้อเท็จจริง ตัวอย่างในต่างประเทศเช่น Snopes.com, FactCheck.org, AFP Fact Check เป็นต้น ในประเทศไทยก็มีทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนที่ร่วมมือกัน อาทิ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (ของกระทรวงดิจิทัลฯ), แพลตฟอร์ม Cofact ประเทศไทย, เพจ “ชัวร์ก่อนแชร์” ของไทยพีบีเอส และภาคีเครือข่ายอีกหลายกลุ่ม การตรวจสอบข่าวผ่านช่องทางเหล่านี้ช่วยประหยัดเวลา เพราะเราอาจพบว่าข่าวที่ได้รับถูกตรวจสอบไว้แล้วว่า จริงหรือเท็จ อย่างไร
  • เทคนิคการตรวจสอบรูปภาพและวิดีโอ: นอกจากข่าวตัวอักษรแล้ว ปัจจุบันการบิดเบือนข้อมูลมักมากับรูปภาพหรือวิดีโอ เช่น ใช้ภาพเก่า ภาพจากคนละเหตุการณ์ หรือแม้แต่ภาพตัดต่อปลอม ในการตรวจสอบรูป เราสามารถใช้ เครื่องมือค้นหาภาพย้อนกลับ (Reverse Image Search) เช่น Google Images, TinEye หรือใช้ฟีเจอร์ Google Lens บนมือถือ โดยบันทึกรูปและอัปโหลดค้นหา ระบบจะช่วยหาแหล่งที่มาของภาพหรือภาพอื่นที่คล้ายกัน ซึ่งมักทำให้เราทราบว่าภาพนั้นถ่ายเมื่อใด ที่ไหน เคยถูกใช้ในบริบทใดมาก่อนหรือไม่ สำหรับวิดีโอ การตรวจสอบอาจยากขึ้น แต่เราสามารถดู จุดสังเกต เช่น ความไม่สมจริงของภาพ (ในกรณีดีพเฟก – deepfake), ฟังเสียงว่ามีการตัดต่อหรือไม่ หรือตรวจสอบคำบรรยายใต้คลิป/คอมเมนต์ที่อาจมีคนตั้งข้อสงสัยไว้
  • เครื่องมือตรวจสอบลิงก์และเว็บไซต์: ในกรณีที่เป็นลิงก์ข่าวที่น่าสงสัย เราสามารถใช้บริการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ เช่น WHOIS Lookup (เพื่อดูว่าโดเมนจดทะเบียนโดยใคร เมื่อใด), เช็กความปลอดภัยผ่าน Google Safe Browsing หรือส่วนขยายเบราว์เซอร์บางชนิดที่แจ้งเตือนเว็บไซต์หลอกลวง นอกจากนี้การดู URL ให้ละเอียด เช่น สังเกตการสะกดหรือโดเมนที่พยายามปลอม (เช่น “abcnews.com.co” ซึ่งไม่ใช่ abcnews จริง ๆ) ก็เป็นสิ่งจำเป็นในการหลีกเลี่ยงเว็บข่าวปลอม
  • ร่วมกันแจ้งเตือนหรือถามไถ่ในชุมชนออนไลน์: หากพบข้อมูลที่สงสัย การตั้งกระทู้ถาม ในชุมชนออนไลน์ที่มีสมาชิกช่วยกันตรวจสอบ (เช่น กลุ่มเฟซบุ๊กหรือตั้งโพสต์ถามบน Twitter โดยติดแฮชแท็ก #FactCheck) อาจทำให้มีผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญมาให้คำตอบได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ การช่วยกันแจ้งข่าวปลอมหรือข้อมูลหลอกลวงที่พบเจอไปยังแพลตฟอร์มหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็จะช่วยลดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จในวงกว้าง

การตรวจสอบข้อเท็จจริงอาจฟังดูยุ่งยากในตอนแรก แต่เมื่อฝึกฝนเป็นนิสัยแล้วจะใช้เวลาไม่นาน และให้ผลคุ้มค่าคือช่วยป้องกันไม่ให้เรา ตกเป็นเหยื่อของข้อมูลเท็จ รวมถึงไม่เผลอเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดให้ผู้อื่นต่อด้วย ที่สำคัญคือปัจจุบันมีแหล่งข้อมูลและเครื่องมือมากมายมาช่วยให้ประชาชนทำการตรวจสอบได้สะดวกขึ้น เช่นล่าสุดมีการจัดทำ “คู่มือตรวจสอบข่าวลวง (Fact Check Handbook)ฉบับภาษาไทย ให้ประชาชนดาวน์โหลดใช้ฟรี โดยความร่วมมือของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มูลนิธิฟรีดิช เนามัน และโครงการ Cofact ประเทศไทย ซึ่งมีเนื้อหาแนะนำวิธีเช็กข่าวปลอมอย่างเป็นขั้นตอนblog.cofact.org ผู้สนใจสามารถหาอ่านและฝึกทำตามคู่มือดังกล่าว เพื่อเสริมทักษะการรู้เท่าทันข่าวสารในชีวิตประจำวัน

Last modified: Tuesday, 2 September 2025, 5:53 PM