การใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัยและไม่ละเมิดผู้อื่น

ความปลอดภัยในโลกออนไลน์: การใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสารพัดรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามไซเบอร์ (เช่น ไวรัส มัลแวร์ แฮ็กเกอร์), การโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว, การหลอกลวงทางออนไลน์, รวมถึงอันตรายจากปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น (เช่น การถูกคุกคามหรือถูกละเมิดสิทธิ) ดังนั้น พลเมืองดิจิทัลที่ดีต้องรู้จักป้องกันตนเองและเคารพความปลอดภัยของผู้อื่นด้วย การใช้งานอย่างปลอดภัยจึงครอบคลุมทั้งการป้องกันภัยไซเบอร์และการไม่เป็นภัยต่อผู้อื่นไปพร้อมกัน

แนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยของตนเอง:

  • รักษาความปลอดภัยของบัญชีและข้อมูล: ตั้งรหัสผ่านที่คาดเดายากและแตกต่างกันสำหรับแต่ละบัญชี อย่าใช้รหัสผ่านซ้ำกันทุกระบบ เพราะถ้าถูกแฮ็กที่หนึ่ง ที่อื่นก็เสี่ยงไปด้วย (ThaiCERT, 2015 แนะนำว่า อย่าตั้งรหัสผ่านเหมือนกันทุกระบบ”it24hrs.comit24hrs.com) เปิดใช้งาน Two-factor Authentication (2FA) เมื่อทำได้ เพื่อเพิ่มชั้นการป้องกันอีกระดับ หมั่นอัพเดตซอฟต์แวร์ ระบบปฏิบัติการ และแอนติไวรัสให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอ เพื่ออุดช่องโหว่ความปลอดภัยใหม่ ๆ
  • ระมัดระวังในการท่องเว็บและอีเมล: หลีกเลี่ยงการเข้าเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือหรือผิดกฎหมาย เพราะมักแฝงมัลแวร์หรือหลอกขโมยข้อมูล ThaiCERT (2015) แนะนำผู้ใช้อินเทอร์เน็ตให้ เพิ่มความระมัดระวัง โดยหลีกเลี่ยงการเข้าเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมหรือผิดกฎหมาย และไม่คลิกไฟล์แนบจากคนแปลกหน้าหรือที่ไม่ได้ตกลงกันไว้”it24hrs.com เนื่องจากมัลแวร์จำนวนมากแพร่ผ่านไฟล์แนบอีเมลหรือไฟล์ในโปรแกรมแชทบนโซเชียลมีเดีย หากได้รับอีเมลหรือข้อความที่ดูน่าสงสัย ไม่ควรคลิกลิงก์หรือไฟล์แนบเด็ดขาด รวมถึงระวังเว็บไซต์ปลอม (phishing) ที่หน้าตาคล้ายของจริงเพื่อหลอกเอารหัสผ่าน – ควรตรวจสอบ URL ของเว็บไซต์ให้ถูกต้องก่อนล็อกอินเสมอ
  • ปกป้องอุปกรณ์และเครือข่าย: ไม่ควรเชื่อมต่อ Wi-Fi สาธารณะที่ไม่มีการเข้ารหัสหรือรหัสผ่าน ถ้าจำเป็นควรหลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมสำคัญบนเครือข่ายนั้น ๆ ใช้ VPN ช่วยเข้ารหัสข้อมูลเมื่อเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายสาธารณะ หลีกเลี่ยงการเสียบ USB/External drive จากผู้อื่นเข้าคอมพิวเตอร์ของตนโดยไม่สแกนไวรัส นอกจากนี้ควรสำรองข้อมูลสำคัญอย่างสม่ำเสมอไว้ที่อุปกรณ์ออฟไลน์หรือคลาวด์ที่ปลอดภัย เผื่อกรณีเครื่องพังหรือถูกโจมตีข้อมูลจะได้ไม่สูญหาย
  • รู้วิธีรับมือเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน: หากสงสัยว่าบัญชีถูกแฮ็ก เช่น มีการโพสต์หรือกิจกรรมที่เราไม่ได้ทำ ควรรีบเปลี่ยนรหัสผ่านและตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของบัญชี แจ้งเพื่อนหรือผู้ติดตามว่าเกิดปัญหาเพราะอาจมีข้อความหลอกส่งจากบัญชีเรา หากตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมไซเบอร์ (เช่น ถูกหลอกโอนเงิน) ควรรวบรวมหลักฐานและแจ้งความหรือติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สายด่วนปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นต้น

การใช้งานโดยไม่ละเมิดหรือทำอันตรายผู้อื่น: นอกจากปกป้องตนเองแล้ว เราควรคำนึงว่า การกระทำของเราไม่ก่อความเสี่ยงหรืออันตรายให้ผู้อื่น ด้วย ดังนี้:

  • ไม่เผยแพร่ไวรัสหรือมัลแวร์: แม้บางคนอาจสนุกกับการทดลองเขียนโปรแกรมหรือสคริปต์ แต่การปล่อยไวรัส หนอนอินเทอร์เน็ต หรือมัลแวร์เข้าสู่ระบบของผู้อื่นถือเป็นอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีโทษร้ายแรง อีกทั้งผิดจริยธรรมอย่างยิ่ง เราไม่ควรมีส่วนร่วมในการสร้างหรือกระจายโปรแกรมประสงค์ร้ายเหล่านี้
  • ไม่บุกรุกหรือเจาะระบบผู้อื่น: การแฮ็กเข้าระบบคอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ หรือบัญชีคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าจะทำเพื่อความท้าทายหรือหวังขโมยข้อมูล ล้วนเป็นสิ่งที่ละเมิดต่อเจ้าของระบบและผิดกฎหมาย หากสนใจด้านการแฮ็กควรศึกษาในด้าน แฮ็กอย่างมีจริยธรรม” (Ethical Hacking) ที่เจ้าของระบบว่าจ้างให้หาช่องโหว่โดยได้รับอนุญาตแทน
  • ไม่กลั่นแกล้งและคุกคาม: ดังที่กล่าวไว้ในหลายส่วนก่อนหน้า การไม่กลั่นแกล้งรังแกไซเบอร์เป็นมาตรฐานสำคัญ พลเมืองดิจิทัลต้องไม่ส่งข้อความคุกคาม ทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสียชื่อเสียง หรือร่วมแบ่งปันข้อมูลที่ทำร้ายผู้อื่น เช่น ภาพหลุดหรือความลับของคนอื่น หากเราได้รับการชักชวนให้ร่วมกลุ่มแชทที่นินทาหรือแฉผู้อื่น ก็ควรปฏิเสธและออกห่าง เพื่อไม่ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา
  • เคารพขอบเขตการสื่อสาร: ในยุคที่ทุกคนติดต่อกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง ควรเคารพเวลาส่วนตัวของผู้อื่นด้วย เช่น ไม่โทรหรือส่งข้อความก่อกวนในเวลาพักผ่อนตอนดึกดื่น เว้นแต่กรณีฉุกเฉิน, ในกลุ่มสนทนา ไม่ควรแท็กหรือเรียกชื่อคนอื่นพร่ำเพรื่อหากไม่จำเป็น, หากอีกฝ่ายแจ้งว่าไม่สะดวกคุยหรือขอให้งดส่งข้อความบางประเภท (เช่น ข้อความโฆษณา) ก็ควรเคารพตามนั้น
  • สร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ให้ผู้อื่น: แนวคิดนี้หมายถึงการทำให้สภาพแวดล้อมออนไลน์รอบตัวเราปลอดภัยและเป็นมิตรต่อคนที่มาปฏิสัมพันธ์ด้วย เช่น ในกลุ่มสนทนาที่เราดูแล ควรทำให้เป็นพื้นที่ที่สมาชิกกล้าแสดงความคิดเห็นโดยไม่ถูกบูลลี่, ในหน้าโปรไฟล์ของเรา เราสามารถประกาศนโยบายชัดเจนว่าไม่ต้อนรับพฤติกรรมเหยียดหรือรุนแรง และปฏิบัติจริงโดยการลบความเห็นหรือบล็อกผู้ที่ละเมิดหลักการนั้น ISTE (2019) ได้ระบุถึงคุณลักษณะ “Alert” (ตื่นรู้) ของพลเมืองดิจิทัลว่า เราต้องตระหนักรู้ถึงการกระทำออนไลน์ของตนเอง และรู้วิธีที่จะทำให้ตัวเองปลอดภัย รวมถึงสร้างพื้นที่ออนไลน์ที่ปลอดภัยสำหรับผู้อื่นด้วย (ISTE, 2019iste.org) การสร้างพื้นที่ปลอดภัยนี้ทำได้ตั้งแต่ระดับตัวเราเอง เช่น ไม่โพสต์หรือแชร์เนื้อหาที่อาจกระทบจิตใจคนหมู่มากโดยไม่จำเป็น และแจ้งเตือนเพื่อนเมื่อเห็นพฤติกรรมไม่เหมาะสมในวงสนทนา

สุขภาวะดิจิทัล (Digital Well-being): หัวข้อการใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัยนี้ยังเกี่ยวข้องกับ สุขภาพกายและใจในการใช้งานดิจิทัล ด้วย เช่น การจัดสมดุลเวลาหน้าจอ (screen time) ไม่ใช้คอมพิวเตอร์หรือมือถือจนทำลายสุขภาพตนเอง (เช่น สายตาเสีย นอนหลับไม่พอ หรือเสพติดโซเชียลจนเครียด) ISTE ชี้ว่าพลเมืองดิจิทัลที่ดีควรมีคุณลักษณะ “Balanced” คือรู้จักจัดลำดับความสำคัญเวลาออนไลน์และออฟไลน์อย่างเหมาะสม (ISTE, 2019iste.org) เราควรกำหนด เวลาพักผ่อนจากหน้าจอ เพื่อสุขภาพกายใจที่ดี เช่น พักสายตาทุก 1 ชั่วโมง กำหนดช่วงเวลาก่อนนอน 1 ชั่วโมงที่ไม่จ้องหน้าจอ เป็นต้น สุขภาพที่ดีจะทำให้เราใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น และลดความเสี่ยงที่จะใช้งานผิดพลาดเพราะความเหนื่อยล้าหรือเครียดสะสม

กล่าวโดยสรุป การใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัยนั้นครอบคลุมทั้งการป้องกันตัวเองจากภัยออนไลน์และการไม่ก่อภัยต่อผู้อื่น เราทุกคนสามารถมีส่วนทำให้โลกดิจิทัลปลอดภัยขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติตามแนวทางความปลอดภัยไซเบอร์ ไม่ประมาท และเคารพสิทธิความปลอดภัยของกันและกัน พลเมืองดิจิทัลที่ดีต้องพร้อมจะ “ตื่นรู้” ระวังภัยอยู่เสมอ แต่ไม่ตื่นตระหนก มีสติและใช้วิจารณญาณในการรับมือกับทุกสถานการณ์ออนไลน์อย่างเหมาะสม

Last modified: Tuesday, 2 September 2025, 10:29 AM